รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย
(Inductive
Thinking Instructional Model)
ทิศนา แขมมณี
(2545: 221-296) ได้กล่าวไว้ว่า
ความหมาย
วิธีสอนแบบอุปนัย เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหา
กฎเกณฑ์ กล่าวคือ เป็นการสอนแบบย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์
หลักการ ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง
เปรียบเทียบ แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง
ๆ เพื่อนำมาเป็น ข้อสรุป
ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบนี้
จอยส์ และ วีล (Joyce &
Weil, 1996: 149-159) พัฒนาขึ้น โดยใช้แนวคิดของทาบา (Taba,
1967: 90-92) ซึ่งเชื่อว่าการคิดเป็นสิ่งที่สอนได้
การคิดเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูล
และกระบวนการนี้มีลำดับขั้นตอนดังเช่นการคิดอุปนัย จะต้องเริ่มจากการสร้างความคิดรวบยอด
หรือมโนทัศน์ก่อน แล้วจึงถึงขั้นการตีความข้อมูล และสรุป
ต่อไปจึงนำข้อสรุปหรือหลักการที่ได้ไปประยุกต์ใช้
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาการคิดแบบอุปนัยของผู้เรียน
ช่วยให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดดังกล่าวในการสร้างมโนทัศน์และประยุกต์ใช้มโนทัศน์ต่าง
ๆ ช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์
หรือความจริงที่สำคัญ ๆ ด้วยตนเองกับให้เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิด
ต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการทำการสอบสวนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่
1 การสร้างมโนทัศน์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย คือ
1.1
ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งที่จะศึกษาและเขียนรายการสิ่งที่สังเกตเห็น หรือ
อาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น
ตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบ ในขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องได้รายการของสิ่งต่าง ๆ
ที่ใช่หรือไม่ใช่ตัวแทนของมโนทัศน์ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
1.2
จากรายการของสิ่งที่เป็นตัวแทนและไม่เป็นตัวแทนของมโนทัศน์
นั้น
ให้ผู้เรียนจัดหมวดหมู่ของสิ่งเหล่านั้น โดยการกำหนดเกณฑ์ในการจัดกลุ่ม
ซึ่งก็คือคุณสมบัติที่เหมือนกันของสิ่งเหล่านั้น
ผู้เรียนจะจัดสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน
1.3 ตั้งชื่อหมวดหมู่ที่จัดขึ้น ผู้เรียนจะต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นหัวข้อ
ใหญ่ อะไรเป็นหัวข้อย่อย
และตั้งชื่อหัวข้อให้เหมาะสม
ขั้นที่
2 การตีความและสรุปข้อมูล ประกอบด้วย 3 ขั้นย่อยดังนี้
2.1
ระบุความสัมพันธ์ของข้อมูล
ผู้เรียนศึกษาข้อมูลและตีความข้อมูลเพื่อให้เข้าใจข้อมูล
และเห็นความสัมพันธ์ที่สำคัญ ๆ ของข้อมูล
2.2 สำรวจความสัมพันธ์ของข้อมูล
ผู้เรียนศึกษาข้อมูลและความสัมพันธ์ของข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เช่น
ความสัมพันธ์ในลักษณะของเหตุและผล ความสัมพันธ์ของข้อมูลในหมวดนี้กับข้อมูลในหมวดอื่น
จนสามารถอธิบายได้ว่าข้อมูลต่าง ๆ สัมพันธ์กันอย่างไรและด้วยเหตุผลใด
2.3 สรุปอ้างอิง
เมื่อค้นพบความสัมพันธ์หรือหลักการแล้ว
ให้ผู้เรียนสรุปอ้างอิงโดยโยงสิ่งที่ค้นพบไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ
ขั้นที่
3 การประยุกต์ใช้ข้อสรุปหรือหลักการ
3.1 นำข้อสรุปมาใช้ในการทำนาย
หรืออธิบายปรากฏการณ์อื่น ๆ และฝึกตั้งสมมติฐาน
3.2
อธิบายให้เหตุผลและข้อมูลสนับสนุนการทำนายและสมมติฐานของตน
3.3 พิสูจน์ ทดสอบ การทำนายและสมมติฐานของตน
ขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย
1. ขั้นเตรียม คือ
การเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนด จุดมุ่งหมาย
และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
2. ขั้นสอนหรือขั้นแสดง
คือ การเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่าง ๆ ให้นักเรียนได้ พิจารณา
เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่าง ควรเสนอ หลายๆ
ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตัวอย่างเดียว
3. ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม
เป็นขั้นหาองค์ประกอบรวม คือ การที่นักเรียน ได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ไม่ควร
รีบร้อนหรือเร่งเร้าเด็กเกินไป
4. ขั้นสรุป คือ
การนำข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นินาม หลักการ หรือสูตร
ด้วยตัวนักเรียนเอง
5. ขั้นนำไปใช้ คือ
ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือ
ข้อสรุปที่ได้มาแล้วว่าสามารถที่จะนำไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรือไม่
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสร้างมโนทัศน์และประยุกต์ใช้มโนทัศน์นั้นด้วยกระบวนการ
คิดแบบอุปนัย
และผู้เรียนสามารถนำกระบวนการคิดดังกล่าวไปใช้ในการสร้างมโนทัศน์อื่น ๆ ต่อไปได้
ข้อดี
1. จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจำได้นาน
2. ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดตามหลักตรรกศาสตร์
และหลักวิทยาศาสตร์
3. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา
และรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลัก จิตวิทยา
ข้อจำกัด
1. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียะ
2. ใช้เวลามาก อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย
3. ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นทางการเกินไป
4. ครูต้องเข้าใจในเทคนิควิธีสอนแบบนี้อย่างดี
จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ในการสอน
ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
3
การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่
1 พื้นที่ผิวและปริมาตร เวลา
5 ชั่วโมง
1. สาระสำคัญ
ทรงกระบอก (Cylinder) คือ ทรงสามมิติใด ที่มีฐานเป็นรูปวงกลมที่เท่ากันทุกประการและอยู่ใน
ระนาบที่ขนานกัน และเมื่อตัดทรงสามมิตินี้ด้วยระนาบที่ขนานกันกับฐานแล้วจะได้รอยตัดเป็นรูป
วงกลมที่เท่ากันทุกประการกับฐานเสมอ ทรงกระบอกมี
2 ประเภท คือ ทรงกระบอกตรง และ
ทรงกระบอกเอียง
พื้นที่ผิวของทรงกระบอก
เท่ากับ ผลรวมของพื้นที่ฐานหรือหน้าตัด และพื้นที่ผิวข้างทั้งหมดของ
ทรงกระบอก
ปริมาตรของทรงกระบอก
เท่ากับ การหาพื้นที่ฐานคูณกับความสูง หรือพื้นที่หน้าตัดคูณกับ
ความยาวของทรงกระบอก
2. ตัวชี้วัดชั้นปี
1. หาพื้นที่ผิวของปริซึมและทรงกระบอก (ค 2.1 ม. 3/1)
2. หาปริมาตรของปริซึมทรง กระบอก พีระมิด กรวย และทรงกลม
(ค 2.1 ม. 3/2)
3. เปรียบเทียบหน่วยความจุ หรือหน่วยปริมาตรในระบบเดียวกันหรือต่างระบบ
และเลือกใช้หน่วย
การวัดได้อย่างเหมาะสม (ค 2.1 ม. 3/3)
4. ใช้การคาดคะเนเกี่ยวกับการวัดในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
(ค 2.1 ม. 3/4)
5. ใช้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ พื้นที่ผิว และปริมาตร
ในการแก้ปัญหา ในสถานการณ์ต่าง ๆ
(ค 2.2 ม. 3/1)
6. อธิบายลักษณะและสมบัติของปริซึม พีระมิด ทรงกระบอก
กรวย และ ทรงกลม
(ค 3.1 ม. 3/1)
7. ใช้วิธีการที่หลากหลายแก้ปัญหา (ค 6.1 ม. 3/1)
8. ใช้ความรู้ ทักษะ และกระบวนการทางคณิตศาสตร์
และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาใน
สถานการณ์ต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม (ค 6.1 ม. 3/2)
9. ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรุปผลได้อย่างเหมาะสม (ค 6.1 ม. 3/3)
10.
ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร การสื่อความหมาย และการนำเสนอ
ได้อย่างถูกต้อง และชัดเจน (ค 6.1 ม. 3/4)
11. เชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ในคณิตศาสตร์และนำความรู้
หลักการ กระบวนการทางคณิตศาสตร์
ไปเชื่อมโยงกับศาสตร์อื่น ๆ (ค 6.1 ม. 3/5)
12. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(ค 6.1 ม. 3/6)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลักษณะและสมบัติของทรงกระบอกได้
(K)
2. หาพื้นที่ผิวของทรงกระบอก และนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์
ต่าง ๆ ได้ (K)
3. หาปริมาตรของทรงกระบอก และนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์
ต่าง ๆ ได้ (K)
4.
ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบจากการคำนวณและการแก้ปัญหาได้(K)
5. ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย
รอบคอบ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง (A)
6. การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมาย
การนำเสนอและการเชื่อมโยงหลักการความรู้
ทางคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น (P)
4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้
(K)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1. สังเกตจากการซักถาม การแสดง
|
– แบบบันทึกผลการอภิปราย
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
ความคิดเห็น การให้ข้อเสนอแนะ
|
– แบบบันทึกความรู้
|
|
และการอภิปรายร่วมกัน
|
||
2. ตรวจผลการปฏิบัติตาม
|
–
แบบฝึกหัด 1.2
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
แบบฝึกหัด 1.2
|
ด้านคุณธรรม
จริยธรรม และค่านิยม (A)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1. สังเกตพฤติกรรมขณะทำงาน
|
– แบบประเมินพฤติกรรมขณะ
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
ร่วมกับกลุ่ม
|
ทำงานร่วมกับกลุ่ม
|
|
2. ประเมินพฤติกรรมตามรายการ
|
– แบบประเมินด้านคุณธรรม
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
ด้านคุณธรรม จริยธรรม
|
จริยธรรม และค่านิยม
|
|
และค่านิยม
|
ด้านทักษะ/กระบวนการ
(P)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1. สังเกตพฤติกรรมการสื่อสาร
|
– แบบประเมินด้านทักษะ/
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
การเชื่อมโยงหลักการความรู้
|
กระบวนการ
|
|
ทางคณิตศาสตร์
|
||
2. ประเมินพฤติกรรมตามรายการ
|
||
ประเมินด้านทักษะ/กระบวนการ
|
||
3. สังเกตขณะปฏิบัติตามแบบฝึกหัด
|
– แบบฝึกหัด
1.2
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย
3
ขึ้นไป
|
1.2
|
5. สาระการเรียนรู้
การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
6. แนวทางบูรณาการ
ภาษาไทย
จัดการพูดหน้าชั้นเรียนเรื่อง การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
ศิลปะ ทำแผ่นพับ
ใบความรู้เกี่ยวกับการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
ภาษาต่างประเทศ
จัดป้ายนิเทศเกี่ยวกับการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
7. กระบวนการจัดการเรียนรู
ขั้นที่
1 นำเข้าสู่บทเรียน
ครูนำตัวอย่างบันทึกการอภิปราย ผลสรุป และจัดทำรายงานการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของ
ปริซึมบางกลุ่มแสดง เพื่อทบทวนเรื่องปริซึม
ขั้นที่ 2
กิจกรรมการเรียนรู้
1.
ครูนำทรงกระบอก
เช่น แก้วน้ำ กล่องขนม ถ่านไฟฉาย
(หรือครูอาจประดิษฐ์เองเป็น
ทรงกระบอกที่มีหน้าตัดหัวท้ายเป็นรูปวงกลม) และปริซึมรูปแบบต่างๆ แจกให้กลุ่ม กลุ่ม
ละ 2–3 ชิ้น
โดยครูตั้งคำถาม ระหว่างทรงกระบอกกับปริซึมรูปแบบต่างๆ มีความเหมือน
หรือแตกต่างอย่างไร
และนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร
2.
ให้นักเรียนในกลุ่มร่วมกันพิจารณา สังเกต วิเคราะห์ พร้อมอภิปรายลักษณะและสมบัติเหมือน
ระหว่างทรงกระบอกกับปริซึมมีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร
และนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหา
ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร
ซึ่งสรุปได้ว่า ทรงกระบอกกับปริซึมไม่มีความแตกต่างกัน เพียง
หน้าตัดหัวท้ายของทรงกระบอกเป็นรูปวงกลม
ส่วนปริซึมหน้าตัดหัวท้ายของปริซึมเป็นรูปเหลียม
เมื่อคลี่รูปด้านข้างของทรงกระบอกและปริซึมออกจะมีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ดังนั้นนักเรียนสามารถ
สรุปการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอกคล้ายกับปริซึม
(ส่วนคำถามการนำความรู้ไปใช้
แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร
ให้ครูพิจารณาจากการอภิปรายของนักเรียน)
3. ให้นักเรียนส่งตัวแทนของกลุ่มมาแสดงผลการอภิปรายของกลุ่ม
4. นักเรียนช่วยกันสรุปผลการอภิปรายแล้วบันทึกความรู้ที่ได้ลงในแบบทันทึกความรู้
โดยครู
ให้ความช่วยเหลือและแนะนำเพื่อความสมบูรณ์ของบทเรียน
5. ให้นักเรียนส่งแบบทันทึกความรู้
ตัวแทนของกลุ่มนำส่งครูเพื่อตรวจความถูกต้อง และรับ
กลับเพื่อจัดเก็บในแฟ้มสะสมผลงาน
ขั้นที่ 3
ฝึกฝนผู้เรียน
1.
ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด 1.2 ในหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ม. 3 เล่ม 1
(บริษัท สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด)
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานำเสนอคำตอบแบบฝึกหัด
1.2
ขั้นที่ 4
การนำไปใช้
นำความรู้ที่ได้จากการเรียนเรื่องนี้ไปใช้ในการเรียนเรื่อง
การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของ
พีระมิด กรวย และทรงกลม
ขั้นที่ 5
สรุปความคิดรวบยอด
นักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียนเรื่อง
การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
โดยครูให้
ความช่วยเหลือและแนะนำเพื่อความสมบูรณ์ของบทเรียน
8. กิจกรรมเสนอแนะ
แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มให้แต่ละกลุ่มสร้างแบบทดสอบแบบปรนัย
จำนวน 20–30 ข้อ และครู
สามารถคัดเลือกมาเป็นแบบทดสอบนักเรียนได้
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. รายงานการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของปริซึม
2. บันทึกการอภิปราย
ผลสรุปการหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของปริซึม
3. หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ม. 3 เล่ม 1 (บริษัท
สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด)
แหล่งการเรียนรูเพิ่มเติม
1. หนังสือเสริมความรู้คณิตศาสตร์
2.
บุคคลต่าง ๆ เช่น ครู เพื่อน ญาติ ผู้รู้ด้านคณิตศาสตร์
3.
อินเทอร์เน็ต ข้อมูลในการศึกษาเรื่อง
การหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก
4. สื่อการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ สมบูรณ์แบบ ม. 3 เล่ม 1 (บริษัท สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด)
10. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
1.
ความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้____________________________________________
แนวทางการพัฒนา_____________________________________________________
2. ปัญหา/อุปสรรค
ในการจัดการเรียนรู้_________________________________________
แนวทางแก้ไขปัญหา____________________________________________________
3. สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน_________________________________________________
เหตุผล_____________________________________________________________
4. การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้
__________________________________________
__________________________________________________________________
ลงชื่อ __________________________ ผู้สอน
_______ / ________ / ________
ที่มา
ทิศนา แขมมณี.
(2545). ศาสตร์การสอน :
องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ.
กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
ประทุมพร ศรีวัฒนกูล.
(2553). https://nawaporn.files.wordpress.com.
[ออนไลน์].
เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561.
สมศักดิ์ บุญขวัญดี.
(2553). www.fth0.com/uppic/.../news/.doc. [ออนไลน์].
เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น